วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สงครามของอังกฤษ

       

       วิหารเซนต์พอล ในกรุงลอนดอน ขณะถูกฝูงบินเยอรมันทิ้งระเบิดใส่กรุงลอนดอน
         ".... นี่คือเวลาที่ชาวอังกฤษทุกคนจะต้องร่วมมือกัน และรวมกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน (was united as never before) ทั้งชาย และหญิง จะต้องทุ่มเทกับภารกิจของตัวเอง จนกระทั่งทรุดตัวลงกับพื้น ด้วยความอ่อนล้า จนต้องได้รับการบอกกล่าว ให้กลับบ้านไปพักผ่อน ในขณะเดียวกันบ้านพักของชาวอังกฤษก็จะมีผู้เข้ามาร่วมอยู่อาศัย จากการลี้ภัยสงคราม ความปรารถนาของทุกคน คือ การมีอาวุธ ชาวอังกฤษจะไม่หวั่นต่อการรุกราน เพราะพวกเราทุกคนได้เลือกแล้วว่า จะปราชัยต่อผู้รุกราน หรือ จะสละชีพเพื่อชาติ ...."
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
         ภายหลังจากที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองสามารถพิชิตยุโรปตะวันตก เช่น นอรเวย์ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศสได้ลงอย่างราบคาบแล้ว เขาก็มองไปที่เกาะอังกฤษซึ่งขณะนี้มีเพียงช่องแคบเล็กๆ ขวางกั้นอยู่ระหว่างเมืองคาเล่ย์ (Calais) ของฝรั่งเศสและเมืองโดเวอร์ (Dover) ของอังกฤษ ฮิตเลอร์เริ่มวางแผนที่จะบุกเกาะอังกฤษเป็นขั้นตอนต่อไปสำหรับแผนการครอบครองยุโรปของอาณาจักรไรซ์ที่สามอันยิ่งใหญ่ของเขา โดยมุ่งบุกไปทางตอนใต้ของเกาะภายใต้ชื่อยุทธการ “สิงโตทะเล” (Sealion) หรือ “อุนเทอร์เนเมิน ซีโลว์” (Unternehmen Seelowe) ในภาษาเยอรมัน
         ซึ่งความสำเร็จของยุทธการนี้ จอมพลเรืออีริค เรเดอร์ (Erich Raeder) ผู้บัญชาการกองทัพเรือเยอรมันมองว่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสี่ประการประกอบด้วย ประการที่หนึ่ง คือการทำลายกองทัพอากาศของอังกฤษ (RAF - Royal Air Forces) โดยกองทัพอากาศเยอรมันหรือ “ลุฟวาฟ” (Luftwaffe) เพราะหากกองทัพอากาศอังกฤษยังคงอยู่ จะเป็นภัยคุกคามต่อกองเรือยกพลขึ้นบกของเยอรมันเป็นอย่างมาก ประการที่สอง คือการทำลายกองทัพเรือของราชนาวีอังกฤษบริเวณช่องแคบอังกฤษให้หมดสิ้นจากการเป็นภัยคุกคามกองเรือยกพลขึ้นบกของเยอรมัน ประการที่สาม คือหน่วยป้องกันชายฝั่งของอังกฤษจะต้องถูกทำลายและประการที่สี่คือ การปฏิบัติของเรือดำน้ำอังกฤษในการขัดขวางการยกพลขึ้นบกของเยอรมันจะต้องถูกขัดขวาง
         ภายหลังจากการขจัดภัยคุกคามสี่ประการดังกล่าวแล้ว เรือยกพลขึ้นบกจะลำเลียงทหารเยอรมันจากกองทัพกลุ่ม “เอ” ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศส และอยู่ภายใต้การบัญชาการของจอมพล (Field Marshal) เกษียณอายุวัย 66 ปี ผู้มีฝีมืออันน่าเกรงขามที่สุดคนหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถูกเรียกกลับเข้าประจำการในกองทัพเยอรมันอีกครั้งก่อนสงครามเปิดฉากขึ้นสองปี นั่นคือจอมพลเกิร์ด ฟอน รุนด์ชเท็ดท์ (Gerd Von Rundstedt) กองทัพกลุ่ม “เอ” ประกอบไปด้วยกองทัพที่ 16 และกองทัพที่ 9 และกองพลต่างๆ จำนวน 9 กองพลซึ่งจะเป็นระลอกแรกที่ข้ามช่องแคบเข้าโจมตีเมืองท่าต่างๆ ของอังกฤษพร้อมๆ กัน เช่น เมืองโดเวอร์ อีสท์บอร์น แรมสเกท เวนท์นอร์ และไลม์ เรจิส เป็นต้น โดยใช้กำลังทหารเยอรมันในการบุกเกาะอังกฤษระลอกแรกนั้น เป็นจำนวนทั้งสิ้น 91,000 นาย รถถัง 650 คันและม้าอีกจำนวน 4,500 ตัว
         ภายหลังจากการบุกระลอกแรกของยุทธการ “สิงโตทะเล” แล้ว แผนการในขั้นต่อมาก็คือ กำลังทหารเยอรมันชุดใหญ่ในระลอกที่สองจำนวนกว่า 170,300 นาย ยานยนต์ 34,200 คันและม้าอีกกว่า 57,500 ตัว ซึ่งเป็นกำลังที่จัดจากกองทัพกลุ่ม “บี” ที่นำโดยพลเอกวอลเธอร์ ฟอน ไรซ์ชเนา (Walther Von Reichenau) จะรุกเข้าสู่กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษทางทิศเหนือ ในขณะที่ทหารพลร่มหรือ “ฟอลชริมเจกอร์ (Fallschirmjager) จำนวน 25,000 นายจะกระโดดร่มลงตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่างๆ ทั่วเกาะอังกฤษ จะเห็นได้ว่าหากยุทธการ “สิงโตทะเล” เกิดขึ้นจริงก็จะเป็นการปฏิบัติการทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์การสงครามสมัยใหม่เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามความสำเร็จหรือล้มเหลวของแผนการยุทธในครั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการทำลายล้างกองทัพอากาศอังกฤษเป็นประการแรก ซึ่งจะเป็นการทำลายโดยใช้แสนยานุภาพทางอากาศของนาซีเยอรมันในขณะนั้นที่เชื่อว่า “เหนือกว่า” เป็นสิ่งชี้ขาดชัยชนะ
         นอกจากนี้ ความสำเร็จในการบุกข้ามช่องแคบอังกฤษของเยอรมันไม่ได้มีเพียง “เงื่อนไขด้านกำลังรบ” เท่านั้น หากแต่ยังมี “เงื่อนไขด้านเวลา” เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย มจุดยุทธศษจุดยุทธศษสตร์ที่สำคัญบุกเกาะอังกฤษนั้น จะมีจำนวนถึง 91,000 นาย รถถัง 650 คัน ม้า 4500 ตัวก ดดรองผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน เออร์ฮาร์ด มิลช์ (Erhard Milch) ได้เสนอให้บุกเกาะอังกฤษทันที ในขณะที่อังกฤษเพิ่งถอยร่นข้ามช่องแคบอังกฤษกลับไปและทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลไว้ที่เมือง “ดังเคิร์ก” (Dunkrik) ของฝรั่งเศส เพราะแม้ว่าทหารอังกฤษจำนวนนับแสนจะสามารถหนีรอดไปได้ แต่อุปกรณ์ที่ถูกทิ้งไว้ เช่น ยานยนต์ อาวุธและกระสุนก็ส่งผลให้อังกฤษต้องขาดแคลนปัจจัยต่างๆ ในการป้องกันเกาะอังกฤษอย่างหนัก
         จนบางคนถึงกับกล่าวว่า อังกฤษขาดแคลนแม้กระทั่งกระสุนปืนเล็กยาวสำหรับทหารราบ เพราะทุกอย่างถูกทิ้งไว้ที่ดังเคิร์กนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เออร์ฮาร์ด มิลช์ จึงเขียนในบันทึกของเขาภายหลังจากเดินทางไปยังดังเคิร์กเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1940 ว่า “ถ้าคิดจะบุกเกาะอังกฤษ ก็ต้องบุกในห้วงเวลานี้ เพราะอังกฤษขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่างที่จะใช้ต่อต้านเยอรมัน ถ้าเรารอแม้แต่เพียงหนึ่งเดือน ทุกอย่างก็อาจสายเกินไป”
         จริงอย่างที่มิลช์คาดการณ์ไว้ การบุกเกาะอังกฤษล่าช้าไปจากเวลาที่เขาวางแผนไว้ถึงกว่าหนึ่งเดือน ห้วงเวลาดังกล่าวเป็นห้วงเวลาที่อังกฤษสามารถระดมอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นบางส่วนแล้ว และที่สำคัญคือยุทโธปกรณ์บางส่วนเหล่านั้นก็คือฝูงบินขับไล่สปิตไฟร์ (Spitfire) และเฮอร์ริเคน (Hurricane) อันน่าเกรงขามนั่นเอง

สงครามจีน-เวียดนาม สงครามที่ยิงแหลกที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

"ผู้บัญชาการทหารอากาศเคยบอกว่าต้องทำให้เวียดนามกลั บคืนสู่ยุคหินก่อนถึงจะเอาชนะได้ แต่สำหรับผมแล้ว เวียดนามนี่ถ้าไม่ใช้วิธีการที่ยุคหินที่สุดล่ะก็ไม่ มีทางชนะหรอก ก็เพราะเครื่องจักรน่ะ มันไร้ซึ่งจิตวิญญาณ"
คำพูดของผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษสหรัฐที่นาซาง
สงครามสิบหกวันหรือสงครามจีน-เวียดนามเกิดขึ้นในปี 1979 เป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆแต่รุนแรงขอ งจีนที่พึ่งกลายเป็นมหาอำนาจสดๆ กับเวียดนาม ประเทศเล็กพริกขี้หนูจอมท้าทาย มีสาเหตุมาจากเงื่อนไขทางการเมืองที่ซับซ้อน สาเหตุที่เรียกว่าสงครามสิบหกวันก็เนื่องมาจากสงคราม ครั้งนี้กินเวลาเพียงแค่ 16 วันเท่านั้น แต่ถึงแม้จะกินเวลาไม่นานนัก แต่การรบนั้นดุเดือดเลือดพล่านและจำนวนคนตายมากกว่าส งครามที่กินระยะเวลานานๆบางครั้งซะอีก
ป.ล. อันที่จริงสงครามนี้มีอยู่หลายชื่อ เช่น สงครามสั่งสอน สงครามอินโดจีนครั้งที่ 3 เป็นต้น
อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ สาเหตุมันซับซ้อน ดังนั้นผมจะขอเล่ามาตั้งแต่ต้นตอเลยนะครับ
กรณีพิพาทของจีนกับรัสเซีย
ในช่วงแรกของสงครามเย็นนั้น จีนกับรัสเซียเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ไม่ว่ารัสเซียจะก่อสงครามตัวแทนขึ้นที่ไหน ไม่ว่าจะที่เกาหลีหรืออียิปต์ จีนก็จะไปช่วยเสมอ
แต่ทว่าในปี 1963 เมื่อรัสเซียมีปัญหากับอเมริกาเรื่องวิกฤตการณ์นิวเค ลียร์ในคิวบา แต่จีนกลับไม่ยอมไปช่วยซะงั้น รัสเซียจึงถอนการสนับสนุนทุกเรื่องที่มีต่อจีน แต่แล้วสงครามเวียดนามก็ดันเกิดขึ้นซะก่อน รัสเซียจึงจำเป็นต้องใช้จีนเป็นทางผ่านในการขนอาวุธไ ปให้เวียดนามสู้กับอเมริกา จีนจึงถือโอกาสนี้ยักยอกอาวุธของรัสเซียซะเลย แต่รัสเซียก็ไม่ได้โง่ มีเช็กยอดปลายทาง เมื่อรัสเซียรู้เข้าจึงเรียกจีนไปคุยแต่ก็ตกลงกันไม่ ได้ รัสเซียจึงหันไปใช้วิธีขนอาวุธให้เวียดนามทางเรือแทน โดยใช้ท่าเรือไฮฟองนอกชายฝั่งฮานอยเป็นแหล่งขนถ่ายอา วุธขนาดใหญ่
ในปี 1969 สถานการณ์ความบาดหมางของจีนกับรัสเซียทวีขึ้นถึงขีดส ุด เมื่อทหารจีนซุ่มยิงทหารรัสเซียตายที่ชายแดนระหว่างจ ีนกับรัสเซีย ทั้งสองฝ่ายจึงขนทหารเป็นล้านไปยืนประจันหน้ากันที่ช ายแดน ออกโรงรบกันจนทหารเสียชีวิตไป 800 นาย แต่สุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็ต้องถอยกลับมาเพราะมีอาวุธน ิวเคลียร์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย (ภาพล่าง) ทหารจีนเอาหมวกทหารรัสเซียที่ยิงได้มาโชว์
Click the image to open in full size.
ด้วยเหตุนี้อเมริกาจึงชักชวนจีนเข้าร่วมเป็นพันธมิตร เปิดสถานทูตมะกันในจีน บอยคอตไต้หวันซะเลย
เวียดนาม - แผนสหพันธรัฐอินโดจีน
ปี 1975 เวียดนามเหนือรบชนะอเมริกาในสงครามเวียดนามและรวมแผ่ นดินได้สำเร็จ หนำซ้ำยังยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยต่างๆที่ทหารมะกั นทิ้งเอาไว้ได้อย่างมากมายจนกลายเป็นชาติที่ Powerfulที่สุดในคาบสมุทรอินโดจีนในสมัยนั้นไปเลย (ภาพล่าง) ทหารเวียดนามขับรถถังพุ่งชนประตูรั้วสถานทูตอเมริกาใ นกรุงไซง่อน ภาพนี้ดังไปทั่วโลกเล่นเอาอเมริกาแทบบ้าไปเลย ชนะชาติมหาอำนาจได้ตั้งมากมาย เยอรมัน อิตาลี่ ญี่ปุ่นโดนตูปราบหมด แต่เจือกมาแพ้ประเทศที่ไม่น่าจะมีอะไรแบบเวียดนามเนี ่ยนะ
Click the image to open in full size.
เมื่อจัดการเรื่องภายในประเทศตนเสร็จ เวียดนามก็วางแผนที่จะยึดครองทุกประเทศในคาบสมุทรอิน โดจีน(กัมพูชา ลาว ไทย)และจัดการรวมเป็นประเทศเดียวที่ปกครองแบบคอมมิวน ิตส์ แผนการนี้มีชื่อว่า "แผนสหพันธรัฐอินโดจีน"
เวียดนามเข้ายึดครองกัมพูชา
เวียดนามกับเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชานั้นเป็นคอม มิวนิตส์คนละสายกัน เวียดนามนั้นเป็นคอมมิวนิตส์สายรัสเซีย ส่วนลาวและกัมพูชานั้นเป็นคอมมิวนิตส์สายจีน เมื่อจีนกับรัสเซียขัดแย้งกัน เวียดนามจึงมีปัญหากับเพื่อนบ้านทันที
กัมพูชาเป็นประเทศจอมหาเรื่องที่เที่ยวก่อเรื่องกับป ระเทศเพื่อนบ้านไปทั่ว แต่ในตอนนั้น(ปี 1978) กัมพูชาตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มเขม รแดงกับกลุ่มกัมพูชาประชาธิปไตย การฆ่าฟันกันเองของคนชาติเดียวกันทำให้ประเทศที่ธรรม ดาก็สู้เวียดนามไม่ได้อยู่แล้วอ่อนแอลงไปอีก เวียดนามจึงใช้ความเหนือกว่าทางด้านการทหารบุกเข้ายึ ดครองกัมพูชาไว้ได้อย่างง่ายดาย (ภาพล่าง) กองทัพเวียดนามบุกเข้าสู่กรุงพนมเปญความโกรธของจีน
การรุกคืบเข้ามาของกองทัพเวียดนามสร้างความอกสั่นขวั ญหายแก่ไทยยิ่งนัก ไทยจึงเลิกให้การสนับสนุนอเมริกาและหันไปขอความช่วยเ หลือจากจีนแทน
จีนนั้นเมื่อก่อนเป็นชาติกระจอกๆที่ถูกชาติมหาอำนาจต ะวันตกและญี่ปุ่นรังแก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว จีนพร้อมที่จะกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่บนเวทีโลกที่จะไม ่ยอมให้ใครมาลูบคมเอาง่ายๆ
ในปี 1978 นั้น เติ้งเสี่ยวผิง ได้ไปเยือนอเมริกา บอกกับ ปธน.เมกา(จำชื่อไม่ได้) ว่าจะจัดการเวียดนามให้ เหตุการณ์นี้ทำให้รัสเซียกับเวียดนามเหม็นขี้หน้าจีน เป็นอย่างมาก
ปัญหาที่จีนกลัวมากที่สุดก่อนที่จะเริ่มสงครามครั้งน ี้ก็คือ ประสิทธิภาพอาวุธของจีนนั้นล้าหลังกว่าเวียดนามพอสมค วร จีนยังใช้เครื่องบินใบพัดอยู่ ส่วนเวียดนามมีเครื่องมิกรุ่นใหม่ๆจากรัสเซีย และเครื่องไฟท์เตอร์คุณภาพดีที่ยึดมาจากอเมริกาอีก
Click the image to open in full size.
เครื่องบินมิก 21 ของเวียดนาม

หน่วยปืนใหญ่ของเวียดนาม

Click the image to open in full size.
หน่วยรถถังของเวียดนาม ระดับเทคโนโลยีมันคนละชั้นกันจริงๆนั่นแหละ
Click the image to open in full size.
รถยิงขีปนาวุธสกั๊ดของเวียดนาม
แต่ถึงอย่างไร จีนก็ไม่อาจที่จะปล่อยให้ไทยโดนเวียดนามยึดไปได้หรอก เพราะถ้าแผนสหพันธรัฐอินโดจีนสำเร็จล่ะก็ เวียดนามก็จะกลายเป็นชาติที่เข้มแข็งมากๆและอาจกลายเ ป็นมหาอำนาจอีกชาติหนึ่งที่จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่ อจีนอย่างแน่นอน การบุกเวียดนามจึงดูเหมือนเป็นเรื่องชอบธรรมในประเทศ จีนขณะนั้น
เมื่อกลับจากอเมริกา เติ้งเสี่ยวผิงได้เคลื่อนทหารกว่า 2 แสน รถถังอีก 400 คันไปยังชายแดนเวียดนาม ขู่ให้เวียดนามถอนทหารออกจากทุกประเทศที่ยึดครองอยู่ แต่เวียดนามไม่ยอมถอน สงครามสิบหกวันครั้งนี้จึงเริ่มขึ้น
สงครามสิบหกวัน
Click the image to open in full size.
ในเวียดนามตอนนั้นมีเพียงตำรวจ ประชาชน กับทหารเพียงเจ็ดหมื่นนายเฝ้าประเทศอยู่ พวกทหารส่วนใหญ่อยู่ชายแดนไทยหมดแล้ว
จีนได้เปิดฉากบุกเวียดนามในวันที่ 17 ก.พ. 1789 ด้วยโจมตี 3 เมืองชายแดนของเวียดนาม ใน 3 วันแรกของการรบนั้น จีนยังคงใช้ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์ซึ่งถือเป็นแผนการรบท ี่โบราณที่สุดในโลก(ใช้กันมาตั้งแต่ยุคหินแล้ว วิธีการวิ่งเฮกันไปยังที่มั่นข้าศึกน่ะ) ส่วนเวียดนามใช้วิธีที่ตนถนัดที่สุดคือการใช้ปืนใหญ่ ยิงถล่มจากที่สูง(แบบที่เดียนเบียนฟู) เนื่องจากเทคโนโลยีที่ล้าหลังกว่า ทำให้กองทัพจีนเสียหายอย่างหนักในช่วงแรก (ภาพล่าง) ทหารเวียดนามยืนอยู่บนซากรถถังจีน
Click the image to open in full size.
ภาพนี้ ทหารหญิงเวียดนามยืนคุมแถวเฉลยศึกจีน(สังเกตได้ว่าจี นตอนนั้นจนเอามากๆ ทหารยังใส่หมวกผ้าอยู่เลย ส่วนเวียดนามหมวกเหล็กเรียบร้อย)
Click the image to open in full size.
จีนเลยเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ คือการใช้รถถังกับกองทหารราบเข้าถล่มพร้อมกัน ยิงถล่มมันทุกตารางวา นักข่าวต่างประเทศยังบอกเลยว่าไม่เคยเห็นสงครามครั้ง ไหนยิงกันแหลกลาญขนาดนี้มาก่อนเลย
Click the image to open in full size.
ได้ผล ในที่สุดจีนก็ยึด 3 เมืองของเวียดนามได้ เวียดนามจึงขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย รัสเซียจึงเคลื่อนทหารพร้อมรถถังเข้าประชิดชายแดนจีน แล้วประกาศกร้าวว่า "ถ้าจีนไม่ยอมหยุดโจมตีเวียดนาม ชาวปักกิ่งจะได้รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของอาวุธน ิวเคลียร์"
จีนก็ออกแถลงการบ้างว่า "ถ้ารัสเซียทำลายปักกิ่งด้วยอาวุธนิวเคลียร์ มอสโคว์ก็จะต้องพินาศด้วยอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน" ทำให้รัสเซียไม่กล้าทำอะไรจีนไปมากกว่านี้ เวียดนามจึงต้องสู้กับจีนอย่างโดดเดี่ยว
เวียดนามถอนทหารจากชายแดนไทยกลับมาป้องกันประเทศ
ในที่สุดเวียดนามก็เห็นว่าจวนตัว จึงเรียกคืนทหารที่อยู่ในลาว กัมพูชา ไทย กลับมาสู้กับจีนโดยด่วน (ภาพล่าง) ทหารเวียดนามมุ่งสู่แนวหน้า
Click the image to open in full size.
(ภาพล่าง) ทหารเวียดนามคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต ขณะที่เพื่อนๆยังเดินหน้าต่อไป สงครามครั้งนี้เป็นสงครามครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ส งครามร่วมสมัยที่ทหารทุกคนเดินหน้าสู้แบบลืมตายทั้งส องฝ่าย ไม่มีการหนีทัพให้เห็น นับเป็นวีรกรรมที่น่ายกย่องอย่างมาก
Click the image to open in full size.
ในช่วงวันที่ 8 - 13 ของสงคราม ทหารจีนได้รุกคืบเข้าสู่พื้นที่สำคัญๆต่างๆ เช่น ริมแม่น้ำแดง เวียดนามจึงส่งกองทัพอากาศสุดไฮเทคของตนเข้าร่วมวงด้ วย กลายเป็นสงครามอลังการน่ะสิทีนี้
Click the image to open in full size.
ภาพล่าง ทหารหญิงจีน
Click the image to open in full size.
จีนถอนกำลังกลับไปเฉยๆ
สงครามกำลังดำเนินมาอย่างดุเดือด กองทัพเวียดนามเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กองทัพจีนรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆจนจะเข้าตีฮานอยอ ยู่แล้ว เวียดนามจึงวางแผนที่จะสลายตัวไปใช้การรบแบบกองโจร
แต่อยู่ดีๆ จีนก็สั่งถอยทัพกลับไปเฉยๆทั้งที่กำลังได้เปรียบและบ อกว่าสงครามนี้จบลงแล้ว? ทำให้สงครามที่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดจบลงชนิดที่ เรียกได้ว่าไม่ทันหายใจ
สงครามนี้ใครชนะกันแน่ - สงครามนี้ใครสั่งสอนใครกันแน่
การที่จีนถอนทัพกลับไปแบบนี้ทำให้เวียดนามประกาศชัยช นะทันทีโดยอ้างว่าสามารถขับไล่กองทัพจีนออกจากประเทศ ได้(จริงๆแล้วจีนถอยกลับไปเอง) แต่จีนเองกล้าอ้างว่าตนชนะเพราะสามารถบรรลุวัตถุประส งค์ของตน ซึ่งก็คือพังแผนสหพันธรัฐอินโดจีนของเวียดนามลงซะยับ (แต่จริงๆแล้ว จีนกลัวว่าถ้าสงครามยืดต่อ เวียดนามก็จะใช้กลยุทธ์แบบกองโจร ซึ่งจีนจะเสียเปรียบอย่างมาก อาจถึงขั้นแพ้สงครามแบบราบคาบเลยก็ได้ ขนาดฝรั่งเศสกับอเมริกายังมาแพ้เวียดนามเพราะสงครามก องโจรเนี่ยแหละ) สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ชนะ และไม่รู้ว่าใครสั่งสอนใครกันแน่ เพราะจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายมากพอๆกัน โดยรวมแล้วยอดผู้เสียชีวิตเกือบล้าน ทั้งๆที่สงครามกินเวลาแค่ 16วันเท่านั้น
หลังสงคราม - ความพยายามที่จะลืมเลือนสงครามครั้งนี้
ภายหลังสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง จีนก็ได้เป็นเบอร์หนึ่งของโลกตะวันออกแทน และหันกลับไปร่วมมือกับรัสเซียและเวียดนามเพื่อต้านอ เมริกาแทน
ปัจจุบันนี้จีนกับเวียตนามหันกลับมาญาติดีต่อกัน เปิดพรมแดนค้าขาย เจริญสัมพันธ์ทางการทูตและการทหาร

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สงครามโลกครั้งที่ 2



                             




                                                          สงครามโสกครั้งที่สอง 
  สงครามโลกครั้งที่๒เกิดขึ้นในยุโรป ตั้งแต่ ..๒๔๘๒ เมื่ออังกฤษและฝรั่งเศส ประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้วเลยลุกลามเป็นสงครามโลก

          ทางด้านเอเชียญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเมื่อวันที่  ธันวาคม ..๒๔๘๔ ต่อมาวันที่ ๘ ธันวาคม พ..๒๔๘๔กองทหารญี่ปุ่นก็เข้าเมืองไทยทางสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานีและสมุทรปราการ ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เข้าโจมตีเกาะฮาวาย, ฟิลิปปินส์ และส่งทหารขึ้นบกที่มลายูและโจมตี สิงคโปร์ทางเครื่องบิน

สงครามที่เกิดขึ้นในเอเชียนี้เรียกกันว่า สงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นมีวัตถุประสงค์จะสร้างวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา (The Greater East Asia Co-prosperity Sphere) ทั้งในทางวัฒนธรรมการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยประเทศต่างๆในเอเชียโดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้นำ
          ในระยะเริ่มแรกของสงครามกองทัพญี่ปุ่นมีชัยชนะทั้งทางบกทางเรือ และทางอากาศทำให้รัฐมนตรีบางคนเห็นควรให้ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาด้วยคิดว่าญี่ปุ่นจะชนะสงคราม ไทยจึงได้ประกาศสงครามเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ..๒๔๘๕ ระหว่างสงครามนั้นญี่ปุ่นได้โอนดินแดนบางแห่งที่ยึดได้จากอังกฤษคืนให้แก่ไทย คือรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิส และ สองรัฐในแคว้นไทยใหญ่ คือ เชียงตุงและเมืองพาน
          ญี่ปุ่นแพ้สงครามเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ..๒๔๘๘ รัฐบาลไทยประกาศว่าการประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเป็นโมฆะเพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและความประสงค์ของประชาชนชาวไทย ไทยต้องปรับความเข้าใจกับสัมพันธมิตรสหรัฐอเมริกามิได้ถือไทยเป็นศัตรูตามประกาศของรัฐบาล สหรัฐอเมริกาโดยนายเจมส์ เบิรนส์ (James Byrnes) รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้ลงนามแต่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ นายเออร์เนสต์ เบวิน(Ernest Bevin) ไม่ยอมรับทราบการโมฆะของการประกาศสงครามง่ายๆลง  วันที่  มกราคม ..๒๔๘๙ (เวลา นั้น ..เสนีย์ ปราโมช เป็น หัวหน้ารัฐบาล ) ผู้แทนไทยได้ลงนามกับผู้แทนอังกฤษที่สิงคโปร์ความตกลงนี้เรียกว่า "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย" ที่สำคัญคือไทยต้องคืนดินแดนของอังกฤษที่ได้มาระหว่างสงคราม ให้ข้าวสารโดยไม่คิดเงินถึง . ล้านตัน และต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ    
ไทยจึงได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ และได้เข้าเป็นสมาชิกเมื่อเดือน ธันวาคม ..๒๔๘๙ โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ เช่น ทำสัญญาทางไมตรีกับจีน (หลังสงครามจีนเป็นมหาอำนาจเพราะเป็นฝ่ายชนะสงครามด้วยสัญญานี้เป็นสัญญาฉบับแรกระหว่างไทยกับจีนทั้งๆที่ได้มีไมตรีกันมานานนับร้อยๆปีไทยยอมคืนดินแดนที่เราได้มาจากอนุสัญญากรุงโตเกียว หลังสงครามอินโดจีนให้แก่ฝรั่งเศส
           การที่ไทยเอาตัวรอดได้ทั้งๆที่อยู่ในฝ่ายประเทศแพ้สงครามนี้ เพราะขบวนการเสรีไทยมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมากทำให้ประเทศสัมพันธมิตรโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเห็นใจเมืองไทย
 ...เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาได้ประท้วงการประกาศสงครามของรัฐบาลไทยและได้รวบรวมคนไทยในสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นขบวนการเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่น



ระหว่างสงคราม
ในเวลานั้น ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากได้เข้าสู่พระนครเต็มไปหมด และได้ใช้สถานที่ทางราชการบางแห่งเป็นที่ทำการ รัฐบาลได้ประกาศให้ญี่ปุ่นเป็น มหามิตร ประชาชนทุกคนต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนกับทางญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ การกระทำใด ๆ ที่เป็นปรปักษ์มีโทษถึงประหารชีวิต แต่ก็มีประชาชนบางส่วนลับหลังได้เรียกญี่ปุ่นอย่างดูถูกว่า "ไอ้ยุ่น" หรือ "หมามิตร" เป็นต้น
ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลไทยก็ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ สหรัฐอเมริกา อย่างเต็มตัว ผลของการประกาศสงครามทำให้ไทยได้ดินแดนในแหลมมลายู ที่เสียให้อังกฤษกลับคืนมา (จังหวัดมาลัย)ซึ่งในขณะเดียวกัน ทางสหรัฐอเมริกา ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ไม่อาจยอมรับการประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นของรัฐบาลไทย และได้ประกาศขบวนการเสรีไทยขึ้นที่นั่น ในวันที่ 12 ธันวาคม พร้อม ๆ กับขบวนการเสรีไทยในที่อื่น ๆ ก็ได้เกิดขึ้น และเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลไทยก็ได้สั่นคลอน เมื่อคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนหลายคน เช่น ปรีดี พนมยงค์ ทวี บุณยเกตุ ควง อภัยวงศ์ ได้แยกตัวออกมา เนื่องจากไม่อาจรับกับการกระทำของรัฐบาลเช่นเดียวกัน และกลายมาเป็นขบวนการเสรีไทยในประเทศ
ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2485 ประเทศไทยได้เซ็นสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่นจึงมาตั้งทัพในไทยฐานะพันธมิตร อีกทั้งในเดือนกรกฎาคมนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นฮิเดะกิ โทโจได้เดินทางมาเยือนกรุงเทพและได้เจรจาวางแผนและแบ่งเขตการรบกับไทย นัยว่าเพื่อหวังจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยตามที่ตกลงไว้ในสนธิสัญญา ในการเจรจาสรุปได้ว่ากองทัพไทยต้องถูกส่งไปรบที่เชียงตุงโดยก่อตั้งกองพลพายัพเพื่อรบกับอังกฤษและสาธารณรัฐจีนตามข้อตกลงแบ่งเขตการรบที่ทำไว้กับญี่ปุ่นว่าตั้งแต่รัฐกะยาห์จนถึงครึ่งใต้ของเมืองมัณฑะเลย์โดยยึดเส้นแบ่งเขตใต้ของเมืองเป็นของไทย จนถึงแม่น้ำโขงเป็นเขตการรบของไทย ฝ่ายทางรัฐบาลไทยต้องรบเพื่อรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้ไม่ให้ขบวนการเสรีไทยลักลอบขโมยไปจนหมด กองทัพไทยยังสามารถขออาวุธของญี่ปุ่นมาเพิ่มเติมได้ด้วย ส่วนทางญี่ปุ่นก็ได้สร้างทางรถไฟสายมรณะเพื่อเข้าโจมตีย่างกุ้งอีกทางหนึ่ง
ประเทศไทยก่อตั้งสหรัฐไทยเดิมโดยรวมดินแดนที่ส่งกองทัพเข้ายึดดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรจำนวนมากได้แก่แคว้นรัฐฉาน (เชียงตุง เมืองพาน), รัฐกะยา รวมไปถึงเมืองตองยีและครึ่งใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ในเขตประเทศพม่าอีกด้วย ผลจากสงครามทำให้สถานการณ์รุนแรงภายในของไทยถึงขนาดมีการปลุกระดมให้เกิดลัทธิคลั่งชาติอย่างรุนแรง ถึงปลูกฝังความคิดชาตินิยม จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยังได้เริ่มกำหนดนโยบายรัฐศาสนาขึ้นกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พูดถึงความยิ่งใหญ่ของชาติ ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรมเหนือชาติใดๆ ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้มีเป้าหมายขจัดอิทธิพลของชาติตะวันตกร่วมกับจักรวรรดิญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้มีการปลุกระดมการรักชาติในด้านการศึกษาแก่เยาวชน เพื่อจะได้ได้ร่วมกันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติให้ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับสมัยเมืองพระมหานครสุโขทัยและอยุธยาในอดีต
หลังจากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดในพระนคร การทิ้งระเบิดครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2485 สถานการณ์โดยทั่วไปในพระนครนั้น ประชาชนได้รับคำสั่งให้ทำการ พรางไฟ คือการใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าขาวม้าปิดบังแสงไฟในบ้าน ให้เหลือเพียงแสงสลัว ๆ เพื่อป้องกันมิให้เครื่องบินของฝ่ายข้าศึกมาทิ้งระเบิดลงได้ ส่วนสถานการณ์โดยรวมของสงคราม ฝ่ายอักษะมีทีท่าว่าจะได้รับชัยชนะในสมรภูมิยุโรปและแอฟริกาตอนเหนือ ส่วนในเอเชียญี่ปุ่นก็สามารถยึดมลายูและสิงคโปร์ได้แล้ว
การทิ้งระเบิด
    เมื่อไทยประทางรถไฟ ท่าเรือ สะพาน อันเป็นปมคมนาคมเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของญี่ปุ่น พระนครและธนบุรีถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทิ้งระเบิด ระหว่างปี พ.ศ. 2485 ถึง 2488 รวม 34 ครั้งด้วยกันคือ ปี พ.ศ. 2485 จำนวน 5ครั้ง ปี พ.ศ. 2486 จำนวน 4 ครั้ง ปี พ.ศ. 2487 จำนวน 14 ครั้ง และปี พ.ศ. 2488 จำนวน 11 ครั้ง สถานที่ที่ถูกโจมตีได้แก่ สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟบางกอกน้อย สถานีรถไฟช่องนนทรีย์ สถานีรถไฟบางซื่อ โรงงานซ่อมสร้างหัวรถจักรมักกะสัน โรงไฟฟ้าวัดเลียบ โรงงานปูนซีเมนต์บางซื่อ สะพานพุทธยอดฟ้า สะพานพระราม 6 ท่าเรือคลองเตย สนามบินดอนเมือง สถานทูตญี่ปุ่น ที่พักและคลังอาวุธของทหารญี่ปุ่น ที่ตั้งปืนต่อสู้อากาศยานบริเวณถนน กาติ๊บ สนามเป้า กองสัญญาณทหารเรือข้างสวนลุมพินี ประตูทดน้ำบางซื่อ โรงเก็บสินค้าและโรงงาน การทิ้งระเบิดในระยะแรก ระหว่างปี พ.ศ. 2486 ถึงกลางปี พ.ศ. 2487 เป็นการโจมตีทิ้งระเบิดในเวลากลางคืน ต่อมาในเดือน มิถุนายน 2487 จึงได้เริ่มโจมตีทิ้งระเบิดในเวลากลางวัน การทิ้งระเบิดมีการทิ้งผิดเป้าหมายที่ต้องการเป็นจำนวนไม่น้อย เช่น วัดราชบุรณราชวรวิหาร ทำให้ภาพวาดของขรัวอินโข่งถูกทำลาย เครื่องบินทิ้งระเบิดที่ใช้มี แบบ บี-24 ซึ่งส่วนใหญ่จะมาทิ้งระเบิดเวลากลางคืน ปืนต่อสู้อากาศยานได้ยิงต่อสู้โดยใช้ไฟฉายส่อง ค้นหาเป้าหมายแบบประสานกันจากจุดต่าง ๆ บนพื้นดิน เมื่อจับเป้าคือเครื่องบินได้แล้ว ก็เกาะเป้าไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปืนต่อสู้อากาศยาน ยิงทางเครื่องบินทิ้งระเบิด จะต่อสู้โดยยิงปืนกลอากาศสวนมาตามลำแสงของไฟฉาย ซึ่งจะเห็นได้จากกระสุนส่องวิถีจากปืนกลอากาศ ที่ยิงมาเป็นชุดยาว
ทางกองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นต่อสู้สกัดกั้น แต่ไม่ใคร่ได้ผลเพราะเครื่องบินฝ่ายเรา มีสมรรถนะต่ำกว่า และต่อมาในระยะหลังที่ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี -29 ซึ่งจะบินมาเป็นหมู่ในระยะสูง ปืนต่อสู้อากาศยานยิงไม่ถึง จึงได้มีการมาทิ้งระเบิดเวลากลางวันอย่างเสรี อีกทั้งรัฐบาลต้องประกาศให้ประชาชนเตรียมพร้อมสำหรับการทิ้งระเบิด เมื่อมาถึงทางการจะเปิดเสียงสัญญาณหวอเสียงดังเพื่อเตือนให้ประชาชนได้ระวังตัว เช่น หลบอยู่ในหลุมพรางที่ขุดขึ้นเอง หรือทำการพรางไฟ เป็นต้น แต่ประชาชนบางส่วนก็ได้อพยพย้ายไปอยู่ตามชานเมืองหรือต่างจังหวัด ตลอดจนลงไปอยู่ในหลุมที่ทางการจัดสร้างไว้ เป็นต้น ซึ่งการอพยพนั้นมักจะเดินกันไปเป็นขบวนกลุ่มใหญ่เหมือนขบวนคาราวาน โดยชานเมืองที่ผู้คนนิยมไปกันเป็นจำนวนมากคือ บริเวณถนนสุขุมวิท ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า บางกะปิ

ตั้งแต่เดือน มกราคม 2487 ถึงเดือน มกราคม 2488 ประเทศไทยถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตร ประมาณ 250 ครั้ง มีเครื่องบินเข้าปฏิบัติการประมาณ 2,490 เที่ยวบิน ทิ้งลูกระเบิดทำลายประมาณ 18,600 ลูก ระเบิดเพลิงประมาณ 6,100 ลูก ทุ่นระเบิดประมาณ 250 ลูก พลุส่องแสงประมาณ 150 ลูก มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,900 คน บาดเจ็บประมาณ 3,000 คน อาคารถูกทำลายประมาณ 9,600 หลัง เสียหายประมาณ 1,200 หลัง รถจักรเสียหาย 73 คัน รถพ่วงเสียหาย 617 คัน เรือจักรกลเสียหาย 14 ลำ เรืออื่น ๆ ประมาณ 100 ลำทรัพย์สินเสียหายประมาณ 79 ล้านบาท
สมรภูมิทางตะวันตก
สมรภูมิทางตะวันตก ซึ่งมีเยอรมนีเป็นฝ่ายรับผิดชอบ โดยยังสามารถแยกย่อยให้เป็นกลุ่มย่อยได้อีกคือ
สมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันตก ได้แก่ ในฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี นาซีเข้าถล่มออสเตรียและผนวกเข้ากับเยอรมนี ล้มล้างระบอบกษัตริย์ในออสเตรียลงและนำกองทัพเข้าโจมตีฮ้งการี ฮังการีเกรงกลัวจึงประกาศยอมแพ้แก่นาซี การบุกโจมตีประเทศต่ำ(เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบอร์ก)ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมีนาแห่งเนเธอร์แลนด์เสด็จ ลี้ภัยไปยังอังกฤษและมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าหญิงจูเลียนาเมื่อครองเนเธอร์ แลนด์ได้ภายใน 4 วัน เบลเยี่ยมและลักเซมเบอร์ก จึงป้องกันประเทศอย่างแน่นหนาด้วยพรมแดนธรรมชาติแต่นาซีได้เข้าทำลายและทำ การผนวก จากนั้นนาซีสามารถเข้าผนวกฝรั่งเศสได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเข้าถล่มเมืองเกอเออนีคาแห่งสเปนที่เป็นกลางด้วยระเบิดรวมถึง โปรตุเกสด้วย และในสแกนดิเนเวียโดยการบุกโจมตีเดนมาร์กและนอร์เวย์ และบีบบังคับให้สวีเดนที่เป็นกลางมอบทรัพยากรทางธรรมชาติให้เยอรมนี ส่วนฟินแลนด์เข้าร่วมกับนาซีเพื่อเข้าโจมตีดินแดนที่เสียให้กับสหภาพโซเวียต ซึ่งเยอรมนีประสบความสำเร็จในการยึดครอง และการยุทธแห่งเกาะบริเตนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของฮิตเลอร์ที่หันไปให้ความสำคัญกับยุโรป ตะวันออกและรัสเซีย ซึ่งเป็นแนวรบที่เยอรมนีได้ทำการโจมตีหลังจากได้เข้ายึดครองประเทศโปแลนด์ แล้ว และได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญของสงครามอีกครั้งหลังจากการยกพลขึ้นบกที่ นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส และการยกพลขึ้นบกที่อิตาลีของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตามปฏิบัติการแอนซิโอ
สมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันออก ได้แก่ ในโปแลนด์ กรีซ (บางส่วน) ยูโกสลาเวีย โรมาเนีย และสหภาพโซเวียต โรมาเนียนั้นเข้าร่วมกับนาซีและเข้าผนวกบัลแกเรียโดยนายพลเซาเซสคูแห่งโรมา เนีย ซึ่งถ้าไม่นับรวมโปแลนด์แล้ว ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญการรุกรานจากเยอรมนีหลังจากสมรภูมิในทวีปยุโรปตะวัน ตก ซึ่งเยอรมนีได้บุกเข้าไปจนกินเนื้อที่จำนวนมาก แต่ทว่าก็ไม่อาจเอาชนะฝ่ายสัมพันธมิตรในสมรภูมินี้อย่างถาวร เนื่องจากแนวรบที่กว้างขวางตั้งแต่ทะเลบอลติก (เลนินกราด หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) จนถึงลุ่มแม่น้ำโวลก้า (สตาลินกราด) และแหลมไครเมีย สภาพอากาศที่โหดร้าย และการตอบโต้อย่างหนักจากสหภาพโซเวียต จนทำให้โดนฝ่ายสหภาพโซเวียตตีโต้กลับไปจนถึงกรุงเบอร์ลินในที่สุด ส่วนอิตาลีได้ทำการผนวกแอลเบเนียแต่ไม่สามารถผนวกกรีซได้
สมรภูมิริมขอบของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่ ในไซปรัส กรีซ (บางส่วน) ลิเบีย และอียิปต์ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เคยอยู่ในอิทธิพลของอังกฤษมาก่อน แต่ว่าอิตาลีและเยอรมนีต้องการ จึงได้เกิดสมรภูมิทะเลทรายอันลือลั่นขึ้น ในตอนแรกนั้น ฝ่ายอิตาลีไม่สามารถเอาชนะอังกฤษได้ แต่ว่าต่อมาฮิตเลอร์ได้ส่งจอมทัพเออร์วิน รอมเมลอันโด่งดังและกองกำลัง Afrika Korp เข้ามาทำให้สถานการณ์ของฝ่ายอักษะกลายเป็นฝ่ายรุก แต่ในที่สุด เนื่องด้วยฝ่ายอักษะไม่สามารถส่งกำลังบำรุงและทหารมาประจำการในสมรภูมิทะเล เมดิเตอร์เรเนียนได้มาก เนื่องจากติดพันอยู่กับสมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันออก และฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการฐานสนับสนุนการยกพลขึ้นบกที่อิตาลีตามข้อเสนอของ นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ ด้วยความสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา จึงได้เกิดปฏิบัติการทอร์ชขึ้น และสามารถขับไล่ฝ่ายอักษะออกจากแอฟริกาเหนือได้
สมรภูมิทางตะวันออก
สมรภูมิทางตะวันออก ซึ่งรับผิดชอบโดยญี่ปุ่นเป็นด้านหลัก โดยมีชื่อเรียกยังสามารถแยกเป็นกลุ่มย่อยได้อีกคือ
สมรภูมิในจีน ซึ่งกองทัพบกญี่ปุ่นได้ดำเนินการมานานก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่2อย่าง เป็นทางการ โดยได้ทำการยึดครองเมืองและบริเวณชายฝั่งของจีนเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการจัดตั้งประเทศแมนจูกัวซึ่งมีจักรพรรดิปูยีเป็นประมุข และได้ทำการยึดครองกรุงหนานจิง(นานกิง)ที่เป็นเมืองหลวงของจีน(ของรัฐบาลก๊ก มินตั่งในยุคนั้น) และได้ทำการสังหารหมู่ชาวจีนทีโด่งดังขึ้น ซึ่งรุนแรงมากจนกระทั่งทำให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสในเมืองนานกิงยังรับไม่ได้ ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับแนวร่วมต่อต้านญี่ปุ่นซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างพรรค คอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำและพรรคก๊กมินตั๋น(ประชาธิปไตย)ที่ มีเจียงไคเช็กเป็นผู้นำ หลังจากเกิดกรณีซีอันขึ้น ทั้งที่ 2 พรรคนี้เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้ทำการสู้รบและดำเนินการ “สงครามกองโจร” ที่กลายเป็นแบบอย่างของสงครามกองโจรยุคใหม่ขึ้นโดยมีฐานที่มั่นหลักอยู่ที่ เยนอาน ตามเขตตอนเหนือและแมนจูเรียส่วนพรรคก๊กมินตั๋นได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ฉ่ง ชิ่ง(จุงกิง)และได้รับการสนับสนุนจากสัมพันธมิตรที่อยู่ในอินเดีย แต่ว่ามีการถกเถียงกันระหว่างบทบาทของพรรคก๊กมินตั๋นและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในเรื่องบทบาทความสำเร็จและความเอาการเอางานในการต่อต้านญี่ปุ่นของอีกฝ่าย หนึ่ง แต่ที่แน่ชัดคือ นายพลสติเวลล์ ผู้บัญชาการทหารของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปดูแลกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋นรู้สึก โกรธมากที่ภายในพรคก๊กมินตั๋นไม่มีประสิทธิภาพ และมุ่งการปราบคอมมิวนิสต์มากกว่าการรบกับญี่ปุ่น ในขณะที่เอดการ์ สโนว์ได้แสดงความชื่นชมบทบาทของเหมาเจ๋อตงอย่างมากในการต่อต้านญี่ปุ่น และทางกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ส่งคณะปฏิบัติการดิกซีเข้าไปร่วมทำงานกับเหมา เจ๋อตุง แต่นักหนังสือพิมพ์จากสหภาพโซเวียตที่ได้เข้าไปทำข่าวในห้วงเวลาเดียวกัน กลับวิจารณ์ เหมาเจ๋อตงว่าไม่เคร่งครัดในลัทธิคอมมิวนิสต์และหย่อนยานในการสู้รบ ทำให้ไม่สามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ การรบชนะจีนซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียนั้น ยิ่งทำให้ชาติญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในการทหารของตนเอง ทำการรุกรานประเทศอื่นๆอย่างไม่เกรงกลัว และยังประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาโดยการส่งเครื่องบินไประเบิดเรืออริโซน่า ที่อ่าวเพิร์ล เป็นชนวนจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่สองในภูมิภาคเอเชีย
 
สมรภูมิในแปซิฟิคและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถ้าไม่นับรวมการเข้ายึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศส ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะภายใต้รัฐบาลวิชีแล้ว สมรภูมิด้านนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือหลักของกองทัพ เรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ และการบุกยึดประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้บุกไปถึงพม่า นิวกินี และเกาะกัวดาคาแนล ซึ่งปรากฏว่าหลังจากสมรภูมิที่มิดเวย์ การรบทางทะเลแถวหมู่เกาะโซโลมอนและทะเลปะการัง และการรบที่กัวดาคาแนลแล้ว ปรากฏว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นต้องสูญเสียอย่างหนัก ส่วนกองทัพบกก็ไม่สามารถหากำลังพลและยุทโธปกรณ์ได้เพียงพอเพื่อปกป้องดินแดน ที่ยึดได้ใหม่ ในที่สุดจึงถูกกองกำลังพันธมิตรที่มีสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลียตีโต้กลับไปจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในที่สุด
ประเทศที่มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้
ใน สงครามครั้งนี้ เป็นการสู้รบกันระหว่างสองฝ่ายคือ ฝ่ายอักษะ และ ฝ่ายพันธมิตร โดยประเทศเล็กๆ ส่วนใหญ่แล้ว ประเทศจะเข้าร่วมฝ่ายตาม ประเทศเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งเป็นส่วนใหญ่
ฝ่ายอักษะประกอบไป ด้วยแกนนำหลัก คือ เยอรมนี อิตาลี และ ญี่ปุ่น ในนามของกลุ่มอักษะโรม-เบอร์ลิน-โตเกียว ที่มีการแถลงวัตถุประสงค์หลักในตอนต้นว่าเพื่อต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ สากล
                       WW2Montage

ผลของการทำสงครามดลกครั้งที่สอง
  • 1. สงครามโลกครั้งที่ 2สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ขยายขอบเขตไปทั่วโลก ยืดเยื้อถึง 6ปี เหตุเกิดจากความไม่พอใจสนธิสัญญาแวร์ซาย รวมทั้งการก้าวขึ้นมามีอานาจทางการเมืองของกลุ่มเผด็จการนาซีในเยอรมัน เผด็จการฟาสซิสต์ในอิตาลี และความต้องการเป็นผู้นาแห่งเอเชียของญี่ปุ่น สงครามโลกครั้งที่2 เริ่มต้นเมื่อ ค.ศ.1939และสงครามในยุโรปสิ้นสุดเมื่อเยอรมนียอมแพ้ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1945 ส่วนสงครามในเอเชียสิ้นสุดเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
  • 2. ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2สงครามประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นสงครามโชกเลือดที่สุด เพียงระยะเวลา 6 ปีตั้งแต่ค.ศ.1939-1945 การห้าหั่นของทหารกว่า100 ล้านนาย คร่าชีวิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปกว่า 60 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์ สาเหตุล้วนมาจากการอดอาหาร โรคระบาด และการรบราฆ่าฟัน แม้ฝ่ายสัมพันธมิตรจะได้รับชัยชนะแต่ก็ใช่ว่าจะไม่สูญเสียเลย ทุกคนล้วนตกเป็นเหยื่อด้วยกันทั้งนั้น ซากศพกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่วแผ่นดิน ผืนน้า ทหารไม่น้อยชิงจบชีวิตตัวเองแทนการยอมถูกจับเป็นเชลยศึก
  • 3. ด้านสังคมมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดทั้งทหารและพลเรือน และมีมูลค่าความเสียหายมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์ มนุษยชาติ ทั้งยังเกิดการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ของโลก โดยชาวยิวกว่า 6 ล้านคนถูกสังหารโดยนาซีเยอรมัน
  • 4. ฝ่ายสัมพันธมิตรทหารเสียชีวิต 17,000,000นาย พลเรือนเสียชีวิต33,000,000 คน เสียชีวิตทั้งหมด 50,000,000 คนฝ่ายอักษะ ทหารเสียชีวิต 8,000,000 นาย พลเรือนเสียชีวิต 4,000,000 คน เสียชีวิตทั้งหมด 12,000,000 คน ผู้คนจานวนมากต้องได้รับบาดเจ็บ พิการ หายสาบสูญ ไร้ที่อยู่อาศัยขาดแคลนอาหาร และประสบปัญหาต่างๆอีกมากมาย
  • 5. ด้านวิทยาการเกิดการพัฒนาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อนามาใช้ในสงคราม เช่น เรดาห์เรือบรรทุกเครื่องบินระเบิดปรมาณู และนาไปสู่การแข่งขันกันผลิตอาวุธร้ายแรงของสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น
  • 6. ด้านเศรษฐกิจเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลกหลังสิ้นสุดสงครามซึ่งเป็นผลจากการล่มของตลาดหุ้นที่วอลสตรีท นครนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา ทาให้ธนาคารหลายพันแห่งต้องปิดกิจการลง ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ายังครอบคลุมไปถึงประเทศต่างๆในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งเป็นลูกหนี้รายใหญ่รวมถึงส่งผลไปยังทวีปเอเชียเช่นญี่ปุุน มีคนว่างงานจานวนมหาศาล
  • 7. ด้านเศรษฐกิจในสงครามโลกครั้งที่2 ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศผู้ริเริ่มสงครามและประเทศมหาอานาจ ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นจานวนมากเพื่อการฝึก การบารุงขวัญทหาร และเพื่อการผลิตอาวุธที่มีศักยภาพสูงและทันสมัย มีอาวุธบางชนิดที่ไม่เคยใช้ที่ใดมาก่อน เช่น เรดาร์ตรวจจับ เรือดาน้า เรือบรรทุกเครื่องบิน จรวด เครื่องบินชนิดต่าง ๆ ระเบิดปรมาณู เป็นต้น
  • 8. ด้านเศรษฐกิจก่อให้เกิดผลลบทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก คือ ทาให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศคู่สงคราม ทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ความสูญเสียนั้นมากมายกว่าสงคราม โลกครั้งที่ 1 ประมาณการว่าค่าใช้จ่ายทางทหารมากกว่า 1,100,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเสียหายทางด้านทรัพย์สินกว่า230,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ประเทศที่เข้าร่วมสงคราม ส่วนใหญ่ต่างต้องเผชิญปัญหาทางด้านเศรษฐกิจภายหลังสงครามสงบแล้ว เว้นแต่สหรัฐอเมริกามิได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจมากนัก และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีกาลังทางเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในโลก
  • 9. ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองพบว่าในหลายประเทศมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เช่น เยอรมนีตะวันตก อิตาลี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกาที่มีผลผลิตทางอุตสาหกรรมคิดเป็นครึ่งหนึ่งของโลก โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจโลกได้ฟื้นคืนกลับมาเหมือนก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1953
  • 10. ด้านการเมือง1.เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอานาจของโลก2.มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพในโลก3.หลายประเทศถูกยึดครองและแบ่งแยก ได้แก่ เยอรมนี เกาหลี และญี่ปุ่นถูกยึดครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โดยสหรัฐอเมริกา4.ประเทศต่างๆประกาศเอกราชจากการปกครองของประเทศในยุโรป5.ประเทศในยุโรปตะวันออกปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ และยุโรปตะวันตกปกครองในระบอบประชาธิปไตย6.ทาให้เกิดสงครามเย็น
  • 11. เยอรมนีเยอรมนีในฐานะเป็นตัวการสาคัญที่ก่อให้เกิดสงคราม ถูกจัดการดังนี้1. ทาให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน2. กรุงเบอร์ลิน ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน3. ห้ามเยอรมนีผลิตอาวุธสงคราม4. การผลิตโลหะ เคมี และเครื่องจักรกลที่อาจใช้ในสงครามได้ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของมหาอานาจทั้ง 45. ระบบนาซีทุกรูปแบบต้องยกเลิก
  • 12. ญี่ปุ่นญี่ปุ่นถูกยึดครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โดยสหรัฐอเมริกา ต้องโดนปลดอาวุธและตกอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของนายพลดักลาส แมคอาเธอร์ เป็นผู้บัญชาการสูงสุดอยู่นานถึง 6 ปี7 เดือน 26 วัน สหรัฐฯบังคับให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนระบอบการปกครองสถานะของสมเด็จพระจักรพรรดิก็เปลี่ยนไป บังคับให้ตราไว้ในรัฐธรรมนูญว่าญี่ปุ่นจะไม่ทาสงครามกับใครอีก จะไม่สร้างกองทัพขึ้นมาอีก นอกจากนั้นยังห้ามทหารญี่ปุ่นเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรี ผู้บริหารประเทศจะต้องมาจากพลเรือนเท่านั้น
  • 13. ประเทศในยุโรปตะวันตกประเทศเหล่านี้ต่างปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยมาก่อนและเปลี่ยนแปลงหลังสงคราม ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจประเทศในยุโรปตะวันตกต่างก็ได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาผ่านทางแผนมาร์แชลล์ ประเทศในยุโรปตะวันตกได้ดาเนินนโยบายต่างประเทศใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและก็พยายามรวมกลุ่มกันทั้งด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ โดยได้มีการจัดตั้งองค์การต่าง ๆขึ้นมา เช่น องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ องค์การประชาคมยุโรป ซึ่งกลายเป็นสหภาพยุโรป ในปัจจุบัน
  • 14. ประเทศในยุโรปตะวันออกประเทศในยุโรปตะวันออกซึ่งตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนีในช่วงสงคราม ต่อมาโซเวียตได้เข้ามายึดครอง โซเวียตได้ให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในการยึดอานาจและเปลี่ยนระบอบการปกครองของประเทศ โครงสร้างการปกครองและรูปแบบรัฐธรรมนูญเป็นแบบสหภาพโซเวียต ด้านเศรษฐกิจยุโรปตะวันออกต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต ซึ่งมีความหวาดระแวงต่อแผนมาร์แชลล์ จึงบีบบังคับให้ประเทศยุโรปตะวันออกปฏิเสธแผนการดังกล่าวรัฐบาลสหภาพโซเวียตได้เสนอแผนเศรษฐกิจโมโลตอฟ แทนเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์
  • 15. การได้รับเอกราชและการสร้างชาติของดินแดนอาณานิคมเป็นผลกระทบประการหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือชาติจักรวรรดินิยมเกิดความอ่อนแอลงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมผลสืบเนื่องจากความอ่อนแอลงของชาติตะวันตก คือ อานาจการปกครองในดินแดนอาณานิคมของตนก็เกิดความอ่อนแอลงไปด้วยขบวนการชาตินิยมของชาวพื้นเมืองในดินแดนต่าง ๆ ก็มีความเข้มแข็งขึ้นซึ่งขบวนการเหล่านี้ได้เรียกร้องเอกราชจากประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตก
  • 16. 1. ประเทศในทวีปเอเชียเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ชาติอาณานิคมต่าง ๆ ได้เรียกร้องเอกราชจากชาติตะวันตกซึ่งชาติจักรวรรดินิยมบางชาติได้เจรจายินยอมให้เอกราช แก่เมืองขึ้นแต่โดยดี เช่น อังกฤษได้ยินยอมให้เอกราชแก่อินเดียและพม่าใน ค.ศ. 1947 แต่ในการเรียกร้องเอกราชนี้บางอาณานิคมต้องทาสงครามกับชาติจักรวรรดินิยม เช่น ในเวียดนามขบวนการชาตินิยมเวียดนามหรือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามภายใต้การนาของ โฮจิมินห์ ได้สู้รบกับกองทัพฝรั่งเศสอย่างหนัก จนกระทั่งฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสมรภูมิเดียนเบียนใน ค.ศ. 1954 ฝรั่งเศสจึงต้องทาสนธิสัญญาเจนีวามอบเอกราชให้แก่เวียดนาม ลาว และกัมพูชา
  • 17. 2. ประเทศในทวีปแอฟริกาหลังจากได้รับเอกราช ดินแดนอาณานิคมแอฟริกาได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศใหญ่น้อยกว่า 50 ประเทศ ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ต่างประสบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศเกิดใหม่ในที่อื่น ๆ เช่น ปัญหาความยากจนและความล้าหลังของประเทศ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และปัญหาการขยายอิทธิพลของชาติมหาอานาจในดินแดนแอฟริกา
  • 18. 3. ประเทศละตินอเมริกาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง สหรัฐอเมริกาได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา โดยการเข้าไปแทรกแซงสนับสนุนรัฐบาลที่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา หรือเข้าไปโค่นล้มรัฐบาลของบางประเทศที่มีนโยบายขัดผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา เช่น การสนับสนุนกลุ่มกบฏโค่นล้มรัฐบาลฟิเดล คัสโตร แห่งคิวบา ซึ่งฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1962 แต่ต้องประสบความล้มเหลว เป็นต้น
  • 19. เกิดองค์การสหประชาชาติเป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีความมุ่งหมายที่แถลงไว้เพื่ออานวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นในค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติเพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีสาหรับการเจรจา สหประชาชาติมีองค์กรจานวนมาเพื่อนาภารกิจไปปฏิบัติ
  • 20. เกิดมหาอานาจของโลกใหม่คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ลัทธิเผด็จการทั้ง3ก็ล่มสลายลงขณะเดียวกันในโลกเสรี สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นอภิมหาอานาจเหนืออังกฤษและฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามสหรัฐอเมริกาก็มิได้เป็นอภิมหาอานาจเดี่ยวโดยปราศจากคู่แข่ง เพราะอีกขั้วหนึ่งสหภาพโซเวียตก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตาแหน่งมหาอานาจในค่ายคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกัน
  • 21. ทาให้เกิดสงครามเย็นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา สหภาพโซเวียต มีนโยบายขยายลัทธิคอมมิวนิสต์การปลดปล่อยดินแดนจากอานาจฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะ ที่สหรัฐอเมริกาเข้ามากีดกันและในขณะเดียวกันเผยแผ่ประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะดินแดนอาณานิคมที่ประกาศเอกราช จนเกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า สงครามเย็น คือเกิดการแข่งขันกันทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตนั่นเอง